Aquaman

[รีวิว] "Aquaman and the Lost Kingdom"
พ่อใหญ่เจ้าสมุทร งานบันเทิงสุดฉ่ำ แต่อารมณ์ร่วมแห้งแล้ง

Aquaman หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์เดี่ยวซูเปอร์ฮีโร่ในมหาสมุทร “Aquaman” ที่ออกฉายในปี 2018 และทำรายได้ไปแล้วกว่า 1,152 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในจักรวาล DCEU ดูเหมือนว่าหลังจากนี้จะไม่มีภาพยนตร์เพิ่มอีก จะไปถึงจุดสูงสุดที่หนังเรื่องนี้ไปถึงได้หรือไม่? 

เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าทศวรรษที่ผ่านมาของ DC Extended Universe นั้นมีความสำคัญมาก คุณภาพเครื่องหนัง การแทรกแซงค่ายแก้ไขชื่อที่อุกอาจที่สุดของนักแสดง และอื่นๆ อีกมากมายที่นี่และที่นั่น ยกตัวอย่างภาพยนตร์ของ DC ในปีนี้ เช่น “Shazam! Fury of the Gods”, “The Flash” และ “Blue Beetle” ซึ่งทั้งหมดนี้ล้มเหลวในแง่ของรายได้

จนถึงสิ้นปีนี้ คุณปู่ฮีโร่แห่งท้องทะเล จึงต้องกลายเป็นความหวังของหมู่บ้านในภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ผู้รับผิดชอบการปิดจักรวาล DCEU ก่อนการมาถึงของ DCU หรือ DC Universe ในปี 2025 ภาคนี้ยังมีนักแสดงและทีมงานอยู่ 

เดิมทีทั้งทีมกลับมาแล้ว รวมถึงผู้กำกับแนวสยองขวัญ เจมส์ วาน (เจมส์ วาน) ซึ่งหลังจากจบงานนี้ เขาอาจจะอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับหนังสยองขวัญของบลูมเฮาส์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และยังคงเขียนบทโดยเดวิด เลสลี จอห์นสัน-แมคโกลด์ริก เนื้อเรื่องของ “Aquaman” ภาคแรกจะถูกเขียนในตอนนี้ด้วย

โดยรวมแล้วในอุตสาหกรรมนี้ เรียกได้ว่า Wan และทีมงานเองก็รู้สูตรสำเร็จที่ทำให้ “Aquaman” ภาคก่อนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการที่หนังเรื่องนี้มีจุดแข็งที่แตกต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ DC เรื่องอื่นๆ 

ทั้งการให้ความบันเทิงสไตล์หนังป็อปคอร์นที่อร่อย รวมถึงมุขตลก อารมณ์ดี และโปรดักชั่นที่ออกแนวแฟนตาซีนิดๆ ดราม่าครอบครัว จังหวะสยองขวัญ แอ็คชั่นหนักหน่วง ฉากสงครามสุดตระการตา เมืองอันงดงามแห่งแอตแลนติส คุณไม่จำเป็นต้องดูภาพยนตร์ DC เรื่องอื่นเพื่อทำความเข้าใจ

Aquaman

สิ่งสำคัญคือหนังเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหรือจริงจังถึงจะเจ๋งได้ แต่นี่คือหนังที่ถ้าคุณอยากเท่คุณก็เป็นได้ แต่ถ้าอยากเล่นก็ลงมือทำ นั่นคือทั้งหมดที่ทำให้ผู้ชมพอใจในส่วนแรก ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงได้นำเนื้อหาเหล่านี้เป็นแบบอย่างสำหรับส่วนนี้ด้วย

แต่เรายังเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศที่แตกต่างกันเพื่อปรับให้เข้ากับภาคส่วนนี้ ทั้งเพิ่มมิติและบริบทให้กับโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะวิกฤตภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากทะเล ซึ่งเพิ่มเข้ามาในระดับที่เหมาะสมและดูไม่ยัดเยียด แต่อาจจะไม่มีการบดขยี้เพิ่มเติมเพื่อทำให้ดูน่ากลัวและทำให้คุณขนลุก

แต่ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะน่าเป็นห่วงในเรื่องพล็อตเรื่องแต่ก็ประสบปัญหาเดียวกับ “เดอะแฟลช” ซึ่งจริงๆ แล้วหนังก็โอเคนะ (ถ้าไม่นับ CGI บ้งนะ) แต่ด้วยความดราม่าของนักแสดงที่ถูกกฎหมาย ประเด็นที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจ รวมไปถึงภาพรวมของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งวงการที่ถึงจุดอิ่มตัวในปี 2567 ก็ยังมีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เหลืออยู่ในตารางน้อยมาก

หรือในค่าย DC เองทั้งค่ายที่สะสมชื่อเสียงด้านคุณภาพหนังจนเสียเงินติดต่อกัน 2-3 ปีติดๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อาจส่งผลให้ภาคนี้อาจไปได้ไม่ถึงฝั่งฝันก็ได้ คือตอนนี้ลุ้นเอาแค่ไม่ขาดทุนก็ถือว่าได้ชื่นใจแล้วล่ะ

อย่างไรก็ตามการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโหมดบันเทิงก็ยังไม่ทำให้ผิดหวัง หากมองจากมุมมองของภาพยนตร์ภาคต่อ ภาคนี้อาจจะไม่สนุกและสมบูรณ์แบบเหมือนภาคแรกถ้าเรามองจากมุมมองของภาคสุดท้าย และหนังเรื่องล่าสุดในจักรวาล DCEU

อาจจะดูแห้งเหือดจนไม่ใช่หนังเรื่องสุดท้ายที่จบได้สะใจแต่ผู้เขียนเชื่อว่ามันจะเป็นหนังที่คนดูจะชื่นชอบมากกว่านักวิจารณ์ (555) เป็นภาพยนตร์ป็อปคอร์นที่ผู้ชมจะชื่นชอบในความห้าวหาญในวงการบันเทิง พร้อมด้วยมุขตลก ฉากที่ตระการตา แอ็กชันที่เข้มข้น และพลังของเจสัน โมโมอาเป็นคนเท่ + ตลก และหน้าตาบูดบึ้งในบทแพทริค วิลสันที่ยังคงดูสนุกถ้าคุณไม่คาดหวังมากเกินไป

ขอขอบคุณบทความจาก : Aquaman